Facebook บังคับยืนยันตน , เปลี่ยนชื่อ-สกุลจริง,ไล่ปิดบัญชีล่อแหลมเฉลี่ยวันละล้านบัญชี

หลายคนที่ใช้งาน Facebook จะเริ่มโดนบังคับเปลี่ยนชื่อให้เป็นชื่อ-นามสกุลจริง (หรืออย่างน้อยให้ดูเป็นชื่อที่มนุษย์ใช้กัน :P) ทั้งหมดนี้มาจาก Real-Names Policy ที่ Facebook เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี 2012 (และจริงจังขึ้นมากๆ ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2014 เป็นต้นมา) เพื่อแก้ปัญหา Fake Account ซึ่งมักถูกนำไปใช้กระทำการผิดกฎหมาย / หลอกลวง / ฉ้อโกง / ปั้ม Like ฯลฯ และสุดท้าย ‘ไม่สามารถหาผู้กระทำผิด’ ได้เนื่องจากข้อมูล Profile นั้นปลอมหมดนั่นเอง
ตรงนี้ผมเองก็เข้าใจดีว่า Facebook ต้องการให้สังคม Social ปลอดภัยมากขึ้น หากคุณบริสุทธิ์ใจ ไม่ Post อะไรที่มันผิดกฎหมาย หรือหลอกลวงชาวบ้านอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องกังวลอะไร (แค่เซ็งๆ หน่อยที่ไม่ได้ใช้ชื่อเท่ๆ หรือแบบ เวิ่นเว้อ … ไรงี้)
การแจ้งเตือนเกี่ยวกับ Real-Names Policy มีอยู่ 2 แบบด้วยกันคือ

1. แจ้งให้ Update (อัพเดท) ชื่อ-สกุล เหมือนเป็นการเตือนครั้งแรก ตรงนี้ไม่มีอะไรแค่ใส่ชื่อ – สกุลตามจริงแค่นั้น เป็นภาษาอังกฤษหรือไทยก็แล้วแต่ครับ เมื่อเปลี่ยนชื่อแล้วก็สามารถ Login ใช้งานต่อตามปกติ แนะนำว่าให้ใส่ไปตามจริง ส่วน Middle ไม่ต้องใส่ครับ

                            [ ส่วนใหญ่จะโดนกันแค่นี้ครับ กรอกชื่อนามสกุลจริงซะก็จบ ]

2. แจ้งให้ Change (เปลี่ยน) ตรงนี้จะมี 2 อย่างคือ — ระบบต้องการให้คุณยืนยันชื่ออีกครั้ง หรือโดน Report ระบบจะให้คุณกรอกชื่อ – สกุลจริง พร้อมแนบเอกสารยืนยัน (เช่น บัตรประชาชน, ใบขับขี่, Passport, บัตรนักศึกษา …. แม้กระทั่ง ทะเบียนสมรส !!) สามารถถ่ายแนบรูปถ่ายจากมือถือโดยตรงได้เลย จากนั้นระบบ Support จะส่งเมลมาหาคุณ พร้อม Link ที่สามารถตรวจสอบสถานะการยื่นเรื่อง ระหว่างนี้ Facebook ของคุณจะ ‘ถูกระงับ‘ ชั่วคราว ทำอะไรไม่ได้เลย ดังนั้นหากคุณมี Page / Ads อยู่ ควรกระจายความเสี่ยงจะดีที่สุด
สำหรับระยะเวลาที่ Facebook ดำเนินการตรวจสอบเอกสารที่ยืนยัน ไม่แน่นอนครับ แต่อยู่ในช่วง 1-3 วัน  เมื่อเรื่องดำเนินการเรียบร้อยแล้ว Facebook จะมีเมลตอบกลับตามภาพ จากนั้นสามารถ Login ใช้งานได้ตามปกติ พร้อมกับชื่อ-นามสกุลจริง … ยอมก็ยอมวะครับ

ผลกระทบ

– เพื่อนจะหา Account คุณไม่เจอ รวมถึง Tag ไว้ด้วย เปรียบเสมือนว่าคุณลบ Facebook นั้นออกจากระบบไปเลย
– ไม่สามารถจัดการ Page หรือ Ads. ที่ทำการซื้อไว้ได้
– ไม่สามารถ Re-Login กรณีที่ใช้ระบบ Facebook Login บนเว็บไซต์ เกม หรืออื่นๆ
– ไม่สามารถแชร์ Content จากแอพฯ 3rd Party ลง Facebook ได้ (จากเหตุผลด้านบน)
– แน่นอนครับ ใช้ Facebook Messenger ไม่ได้โดยสิ้นเชิง
– ผลกระทบด้านสังคม / การติดต่องาน ติดต่อลูกค้า ฯลฯ เชื่อว่ามีผู้ใช้จำนวนไม่น้อยที่รับผลกระทบส่วนนี้


Alex Stamos หัวหน้าทีมด้านความปลอดภัยของ Facebook ได้เปิดเผยว่าทุกวันนี้ Facebook ต้องไล่ปิดบัญชีที่เข้าข่ายมีปัญหามากมายถึงวันละ 1 ล้านบัญชี รวมถึงการไล่แบนโพสต์ข้อความ, คลิปวิดีโอและสแปมที่ล่อแหลม แต่ถึงกระนั้นก็ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ยากในการจะหยุดบัญชีป่วนเหล่านี้ในระยะเวลาอันสั้น เนื่องจากปัจจุบันมีผู้ใช้ Facebook ทั่วโลกเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงหลัก 2 พันล้านบัญชีไปแล้ว ทำให้พวกเขาเจอปัญหาในเรื่องการออกกฏข้อบังคับในการรับมือสิ่งที่เกิดขึ้น
Facebook ถูกนักการเมืองในยุโรปออกมาวิจารณ์มากมายถึงระบบการจัดการความปลอดภัยที่หย่อนยานและขาดความเด็ดขาด ส่งผลให้กลุ่มผู้ก่อร้ายใช้เป็นหนึ่งในเครื่องมือการวางแผนโจมตีและก่อวินาศกรรมได้ง่าย นอกจากนี้เมื่อปีที่แล้ว วุฒิสภาในสหรัฐฯ เองก็เรียกร้องขอให้ Facebook ออกมาแจกแจงนโยบายการเลือกลบข่าวปลอม ที่ปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจนโปร่งใสมากพอในการกำหนดว่าเนื้อหาแบบใดที่ Facebook เลือกที่จะลบหรือไม่ลบ
ขณะเดียวกันทาง Stamos ก็ออกมาตอบโต้ว่าบริษัทต้องประสานกับฝ่ายกฏหมายของแต่ละประเทศทั่วโลกเกินกว่า 100 ประเทศเพื่อศึกษาและปรับกฏเกณฑ์ให้สอดคล้องกัน โดยก่อนหน้านี้ซีอีโออย่าง Mark Zuckerberg เคยออกมาเปิดเผยว่าบริษัทได้จ้างพนักงานเพิ่มอีก 3,000 อัตราเพื่อมามอนิเตอร์โพสต์ปัญหาและไล่ลบเนื้อหา hate speech ออกจากแพลตฟอร์ม โดยในอนาคต Facebook วางแผนพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์เพื่อมาดูแลงานในส่วนนี้แทนมนุษย์

Credit https://tech.mthai.com/it-news/74913.html

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ย้อนรอย หุ้นแรงไปแรง บริษัท.แคลิฟอร์เนีย ว้าว (Cawow) บทเรียนแสนแพงของคนไทย

มวยวัดในตลาดหุ้น